I S A N : Part1





ระยะทางกว่า1500กิโลเมตร ข้ามผ่านรอยอารยะธรรม แผ่นดินตะวันออกเฉียงเหนือ
กับความร้อนระดับ 40-44 องศา บนอานมอเตอร์ไซค์ ร้อนขนาดนี้ อย่าหวังเลยครับว่าจะหาความสบายได้

ถามว่างั้นทำไปทำไม ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย


ครั้งเมื่อตากับยายต้องไปทำธุระที่มหาสารคาม ในช่วงวันหยุดยาว3วัน
โอกาสแบบนี้มันมีค่ามากสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา จึงไม่อยากจะปล่อยให้หลุดลอย

เราสองคนคิดกันว่าจะขี่เก็บแต้มจังหวัดที่ยังไม่เคยไป ในละแวกนั้นเสียด้วยเลยก็แล้วกัน

จัดแจงวางเส้นทาง กำหนดจุดแวะ หาที่เที่ยวที่จะเก็บภาพ และไม่ลืมที่จะตรวจสอบสภาพอากาศ
เฮียกูเขาว่าอุณหภูมิสูงสุดประมาณ 37องศา ฝนบ้างเล็กน้อย 20%ของพื้นที่
เป็นอันคอนเฟิร์มว่าเราจะขี่มอเตอร์ไซค์ไป ถ้าอากาศแบบนี้ขี่กินลมได้ สบายๆ

วันแรกเราจะต้องไปถึงมหาสารคามให้ทันในตอนบ่าย คิดไว้ว่าล้อหมุนสักตีห้า แต่กว่าจะออกจากบ้านได้ก็ปาเข้าไปแปดโมงเช้า เพราะผมนี่ดันตื่นสาย เหตุจากคืนก่อนนั้นดันไป Hank out แถวๆพัทยามา...

ทำให้ต้องยิงยาว 520km รวดเดียวจากชลบุรีไปถึงที่หมาย เราไปถึงมหาสารคามประมาณบ่ายสอง

ทางที่ขี่ผ่านมามันทำให้เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่า อากาศสบายๆไม่เกิน 37องศา มีฝนเล็กน้อยพอให้ชุ่มช่ำอย่างที่พยากรณ์อากาศว่าไว้ มันไม่มีอยู่จริง..

เพราะระหว่างทาง ทุกครั้งที่เหลือบดูมาตรวัดอุณหภูมิ มันแตะ 40องศาทุกที
สมองน้อยๆประมวลผลเรียบร้อยแล้วว่า "นรกมีจริง" แน่แล้วครับงานนี้..

"อีสานที่เขาว่าร้อนนั้นอย่าไปเชื่อ ที่จริงแล้วมันร้อนชิหา....."
อย่างไรก็ตามเราก็ขี่ฝ่าลมร้อนไปจนถึงมหาสารคามจนได้

รูปนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับมหาสารคาม แค่อยากเอามาแปะไว้ตรงนี้ :)

หลังจากพักร่างกายให้ความร้อนลดลงได้พักหนึ่ง ทำธุระเสร็จ ทีนี้ก็เที่ยวสิครับ

เราก็เดินทางย้อนไปขอนแก่นเพื่อหาของกิน
หลังจากตกลงใจกันอยู่นานก็จบที่ร้านตำถาดริมบึงแก่นนคร

ระหว่างรออาหาร ไหนๆก็มาถึงขอนแก่นแล้ว  ขอไปเก็บสักภาพไปสักภาพแล้วกัน
พอดีว่าร้านที่ไปกิน มันอยู่หน้าวัดนี้

 "วัดพระธาตุหนองแวง"
หิวก็หิว รูปก็อยากได้ เลยวิ่งอย่างไวไปหาเหลี่ยม แล้วก็ได้เจดีย์นี้ติดมือมา



หลังจากอิ่มหนำสำราญกับตำส้มไก่ย่างแล้ว ทีนี้ร่างกายก็ต้องการ คาเฟอีน อีกสิ
จำได้ว่าขับรถผ่านมาเห็นร้านร้านหนึ่ง สะดุดตา คิดอยู่ว่ามันต้องมีอะไรดีแน่ๆ..

" SLOVE U COFFEE "


ร้านหาไม่ยากครับ แถวๆริมบึงแก่นนคร มีมอเตอร์ไซค์คันงามคันนี้จอดอยู่หน้าร้าน


ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ว่าร้านนี้ต้องมีอะไรดี พอเข้าไปที่ร้านเห็นเครื่องคั่วกาแฟวางเด่นอยู่ ที่นี่เขาคั่วเม็ดเองครับ

ถ้าอยากรู้รสกาแฟแท้ๆ ก็ต้องจัดกาแฟดำร้อน ไม่นมไม่น้ำตาลไม่อะไรทั้งนั้น " ไม่ต้องกินมันแระ!! "
เอ้ย!ไม่ใช่ ผมสั่ง Espresso ไปหนึ่งแก้ว ปรากฏว่า อร่อยครับ อร่อยจริงๆ

อยากจะเสวนากับพี่เขาคนที่ปรุงเม็ดกาแฟ แต่เสียดายวันนั้นคนคั่วไม่อยู่  เขาเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อศึกษาเรื่องเม็ดและการคั่วกาแฟเพิ่มเติม


ช้อบบ้างอะไรบ้างที่ขอนแก่นจนเย็น เราก็เดินทางกลับมหาสารคาม

มหาสารคามครั้งนี้เราไม่ได้ออกไปเที่ยวเก็บภาพที่ไหน แต่ยายบ่นยังอยากไปที่ "พระธาตุนาดูน" ที่เราได้แวะชมเมื่อครั้งก่อน ครั้งที่เราขี่เจ้ายักษ์คันข้างล่างนี้มา


อาจเพราะการมาในครั้งนั้นเราถึงพระธาตุนาดูนช้าเกินไป พิพิธภัณฑ์และอีกหลายๆจุดได้ปิดไปแล้ว มันเลยเหมือนมีอะไรค้างคา ไม่จบ และต้องไปซ้ำ

ภาพจากทริปที่แล้ว

เช้าของอีกวัน เอ่อ..คือว่า ตื่นสายเหมือนเช่นเคยนะครับ
วางแผนว่าจะเริ่มเดินทาง 6โมงเช้า แต่เนื่องจากยายโดนโรคคนแก่เล่นงาน นอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ ก็ปาเข้าไปตีห้า

ปล่อยยายนอนจนเต็มอิ่ม ได้ออกเดินทางจริงๆ8โมงเช้าครับ

ต้องตัดโปรแกรมไปสองรายการ เพิ่มปรับให้เวลาเดินทางมาเข้ารอยเดิมที่วางไว้ หนึ่งในนั้นคือ เดิมกะว่าจะเข้าไปถ่ายภาพในตัวเมืองร้อยเอ็ด ต้องขอยกยอดไปก่อน เราขี่มุ่งหน้าไปยัง ยโสธร กันเลย
คือมีนัดกับพี่ "พญาคันคาก" ไว้ครับ

ไปถึงสายนิดหน่อย แต่ดีที่พี่แกยังรอ ยังไม่ไปไหน นั่งอยู่ที่เดิมที่หลังเรือนจำจังหวัดยโสธร


พบปะ-ทักทาย กันพอหอมปากหอมคอ นี่ก็ไกล้เที่ยง ตากะยายก็ต้องหาอะไรกินแล้วละ หิวมาก

เมื่อออกมาจาก พญาคันคากไม่ไกล ก็เจอร้านก๋วยเตี๋ยวเรือร่มรื่นน่านั่งมากๆ เลยแวะจัดซะท้องกาง (หิวมาก กินเพลินจนลืมถ่ายรูป ต้องขอโทษที)

ร้านหาไม่ยาก แถวๆเรือนจำมีร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออยู่ร้านเดียวแหละครับ รสชาติพอทานได้ บรรยากาศร้านดี อัธยาศัยดีเจ้าของร้านดีมาก ถึงรสชาติจะไม่โดดเด่น แต่เพราะนิสัยที่น่ารักของเจ้าของ ถ้าเราผ่านไปแถวนั้นเราก็จะแวะกันอีก

หลังทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จ เที่ยงเที่ยงอย่างนี้จะขี่ไปเห็นทีว่าไม่ไหว จะหาที่หลบนอนสิครับ
เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่แสนดีบอกเราว่า มีร้าน Cake อร่อย แอร์เย็นอยู่ไม่ไกล หลังจากที่ทราบพิกัด กล่าวคำร่ำลากันเล็กน้อย จากนั้นติดเครื่องแล้วไปอย่างไวเลยสิครับ

สถานีต่อไป...
"LOVELY CAKE"


นั่งแช่ นอนแช่ อยู่ที่นี่นานมาก
พอบิลมา น้ำตาพี่จิไหล จัดไปไม่ใช่น้อย ราคาออกมาแค่ 120 บาท !!!

กลัวเขาคิดผิดเลยตรวจบิลดู รายการมีครบ ขอบอก อร่อยทุกรายการ และถูกมาก








ร้านนี้ขอลงรูปเยอะหน่อยนะ ของเขาดีจริง ถ้าไปยโสธร หาให้เจอนะครับ รับรองว่าคุ้มค่า



นั่งนอนจนรู้สึกเกรงใจ เวลาในตอนนี้บ่ายสองครึ่งเราจึงตัดสินใจออกจากที่นั่นและเดินทางต่อ เพราะเหลือระยะทางที่จะต้องเดินทางในวันนี้อีกพอสมควรเหมือนกัน

จากยโสธร เราขี่ย้อนกลับมานิดหน่อยที่ร้อยเอ็ด เพื่อไปชม "กู่กาสิงห์"
เป็นกู่ที่ใหญ่และสมบูรณ์ของจังหวัดนี้ ที่จริงยังมีอีกหลายกู่มาก แต่เวลาเรามีน้อย เลยต้องสุ่มเลือกมาเพียงหนึ่งกู่ คือกู่กาสิงห์นี้เท่านั้น


ใช้เวลาที่นี่อยู่นานเหมือนกัน เพราะไม่อยากถูกย่างสด แม้ว่าเวลาจะบ่ายคล้อยแล้วแต่อุณหภูมิบนถนนยังไม่ได้ลดน้อยลงเลย แตะ40องศาตลอดทาง

ที่รอดมาได้ก็ด้วยนวัตกรรมใหม่ของยายแท้ๆ
อะไรนะหรือ มันคือ

"ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ(แข็ง)"
หาได้ตามร้านสะดวกซื้อ ราคาถุงละ5บาท7บาท

พอได้มาก็จับยัดเข้าไปในเสื้อเกราะเลยทันที

เย็น ชิลไปตลอดทางเลยละครับ ไม่เช่นนั้นสองตายายคงสุกคาถนนไปแล้ว




ที่หมายต่อไปคือ จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทศีขรภูมิ
เขาว่ากันว่านางอัปสรที่งดงามโดดเด่นยิ่งนัก ต้องไปดูด้วยตาให้ได้


ปราสาทศีขรภูมิ หรือ ปราสาทระแงง
จุดเด่นทางสถาปัตยกรรมอยู่ที่รูปแกะสลักนางอัปสรถือดอกบัว ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับนางอัปสราที่ปราสาทนครวัด ที่ไม่พบที่ปราสาทอื่นๆในไทย





เหมือนเป็นรางวัล กับการตากแดดตากฝนจนมาถึงที่นี่ วันนั้นฟ้าช่างสวยงามเสียจริง
ใช้เวลาอยู่ที่นี่ ดูฟ้าสวยๆ ปราสาทงามๆ จนพลบค่ำ

ถึงเวลาต้องเดินทางต่อกันแล้ว (อ้อยอิ่งไม่อยากขยับ เพราะอากาศเริ่มดี)

ถนนระหว่างสุรินทร์ บุรีรัมย์ สวยงามมาก กว้างและดี น่าขี่มอเตอร์ไซค์เป็นอย่างยิ่ง แต่เสียดายค่ำเกินไปเลยไม่ได้แวะเก็บภาพ

เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ในการเดินทางจากสุรินทร์ตรงไปที่ที่พักที่จองไว้ในตัวเมืองบุรีรัมย์

ตากะยายพักกันที่นี่ครับ " MAMAISON HOTEL "

ผมว่าราคารับได้นะ ความสวยในระดับหนึ่ง และที่สำคัญมันตั้งอยู่ไกล้ๆกับ Lively Market และ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เดินถึงสบายๆ ของกินของขายมีมากพอควร






อาบน้ำอาบท่า แล้วเราก็ต้องหาอะไรดื่ม.. สินะ

ไม่ไกลจากที่พักนัก เราเดินไปที่ Lively Market เช่นเคยมากันค่ำเกินไปอีกแล้ว หลายร้านปิดไป
แต่ที่เหลือก็ยังพอให้เราเลือกนั่งทานนั่งดื่มได้
"พี่เดินมาเลยไม่กลัวเมา อิอิ" แล้ว mission ตามล่าหา "ช้างกูอยู่ไหน!!!!" ก็เริ่มขึ้น



สิ่งที่พลาดไม่ได้ของการมาบุรีรัมย์คือ ต้องขึ้นไปดูปราสาทหินพนมรุ้ง เช้าของอีกวันเราจึงแวะไปชม ก่อนที่จะเดินทางไปจังหวัดต่อไป

หากใครได้อ่านบทความของเราสองคนมาบ้างจะรู้ว่าเรื่องหลงทาง มันเป็นธรรมชาติ ของตายายคู่นี้
ไปปราสาทพนมรุ้ง ก็ยังหลงได้ เราไม่ได้เดินไปทางลานกว้างด้านหน้าของปราสาท เพราะขี่รถมั่วไปมั่วมาดันไปโผล่ด้านหลังของปราสาท แต่ก็ดีนะ ไม่ต้องเดินไกล ใครพาญาติผู้ใหญ่ที่มีปัญหากับการเดิน แนะนำเลยครับ ให้ขี่รถเลยจากลานจอดรถหลักอีกหน่อย แล้วจะเจอทางเข้าอุทยานประตูสาม เข้าไปเลยครับ รถเข้าไปได้ถึงตีนกระไดปราสาทเลยทีเดียว






หลังจากชมความงดงามของปราสาทแห่งนี้ได้พักใหญ่ เราก็เดินทางต่อไปที่ปราสาทเมืองต่ำ ซึ่งอยู่ด้านล่าง ห่างออกไป 7km โดยประมาณ

เมื่อไปถึงพบว่า อากาศเริ่มร้อน ความขี้เกียจก็มาเยือน จึงสรุปกันว่าไม่แวะ ทำเพียงแค่ขี่รถ วน ชมนอกรั้ว รอบๆปราสาท

จากปราสาทเมืองต่ำ ที่หมายต่อไปคือตลาดโรงเกลือ เมื่อศึกษาแผนที่พบว่ามีทางเส้นเล็กๆ ที่วิ่งจากหลังปราสาทเมืองต่ำไปยังสระแก้วได้ เราจึงตัดสินใจไม่กลับไปทางหลัก ขอวิ่งลัดเลาะไปในทางเล็กๆนี่ดีกว่า

คิดไม่ผิดครับ ถนนสายนั้นสวยงามมาก รถก็ไม่เยอะ ขี่สนุกทีเดียว

หลังจากลัดเลาะ ตามตะเข็บชายแดนมาไม่นานเราก็มาถึงสระแก้ว ในเวลาไกล้เที่ยงแบบนี้ อย่างแรกที่ควานหาคือ ร้านอาหาร/กาแฟ เน้นที่มีแอร์!!

เมื่อเลี้ยวซ้ายจากถนน 348 เข้ามายังถนน 33 ที่มุ่งหน้าไปโรงเกลือ ขี่มาได้ไม่นานคุณจะเห็นร้าน Cafe & Bistro ชื่อว่า "Just Addict" เมื่อมาถึงมันเป็นร้านแรกที่เจอ ที่มีครบทั้ง อาหาร เครื่องดื่ม  และที่สำคัญ มันมีแอร์!

ไม่รอช้าครับ ปักหัวรถเข้าไปอย่างแรง ดับเครื่อง วิ่งเข้าไปในร้านหามุมเหมาะๆในทันที จะขอแอบงีบสักสองสามชั่วโมงรอแดดจาง อิอิ







หลังจากนั่งนั่งนอนอนพักใหญ่ จนบ่ายสองกว่าๆ ยายก็อยากจะไปช้อบที่ตลาดโรงเกลือแล้ว
เมื่อขี่รถไปจากร้านอีกสักประมาณ 5km ก็ถึงที่หมาย

แม่เจ้า!! มันร้อนเหลือเกิน สู้ไม่ไหว เลี้ยวรถกลับออกมาอย่างไว ไม่ช้อบแล้ว กลับบ้านเลยดีกว่า

หาที่ซื้อระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ(แข็ง) กันคนละชุด ประกอบร่าง แล้วก็เผ่นกลับบ้านที่ชลบุรีอย่างรวดเร็ว

เป็นอันจบทริปอีสานครั้งนี้ ขอบคุณสำหรับคนที่ทนฟังบ่นได้จนมาถึงบันทัดสุดท้าย

สวัสดี



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม