Ubon Ratchathani : EP3 LandMarks


อีกหนึ่งการเดินทางกับ “อุบล”
ลองลัดเลาะริมฝั่งโขง ลองสัมผัสอีกเมืองอีกอารมณ์ของบ้านเรา


ออกจากที่พักตอนเช้าวันเสาร์ มุ่งหน้าไปสามพันโบก
ระหว่างทางเจอป้ายชี้ทางไป ภูสองชั้น เมื่ออยากรู้ ก็ต้องเลี้ยวไปดู มันคืออะไรกันนะ

ภูสองชั้น







ที่นี่เป็นทางศึกษาธรรมชาติ
ณ เวลานี้มันร้อนเกินไหมในการที่จะลงไปเดิน

ถึงแม้อ่านที่ป้ายแล้วดูน่าสนใจก็ตามแต่ หันรถกลับ ขับไปเรื่อยๆครับ ไม่จอดครับ

การย้อนทางเก่าไม่ใช่วิสัยของเรา ออกจากภูสองชั้น ดุ่ยๆมันไปข้างหน้าเรื่อยๆ
มาได้สักพัก ทางก็แคบลงแคบลง จากถนนดินกว้างสักสองเลนเหลือแค่ทางเกวียนแคบๆ

ตามคำบอกเล่าของคนพื้นที่ที่เราแวะถาม “เหลืออีกไม่ไกลก็ถึงทางดำแล้ว”
มันพอทำให้เราอุ่นใจและไปต่อ



อาจเพราะถนนที่ยังไม่ดีนัก ทำให้ที่นี่ยังสด ไร้ซึ่งทุนนิยมรบกวน
เหมาะเลยที่จะเสพความเรียบง่าย ความเป็นธรรมดา









คลุกฝุ่นกันมาสักพัก ทางดำบ้างทางดินบ้างสลับๆกันไป ตามที่พี่เขาบอก ในที่สุดก็มาถึง



สามพันโบก

ผมเลือกไปจอดในที่เอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งมันไกล้กับจุดยอดนิยม
จริงๆแล้วแค่อยากมาดูลาดเลาก่อน รอตอนเย็นๆพอแสงสวยค่อยมาซ้ำ



พอลงไปแล้ว มันอดไม่ได้สิครับ เอาเท่าที่ได้วะ แสงเสิงไม่รอมันแล้ว จัดเลยแล้วกัน











เพลิดเพลินกันไป ชนิดลืมความร้อนของแดดที่แผดเผาผิวสวยๆกันไปเลยทีเดียว
เวลาล่วงเลยไป สองชั่วโมงเหนจะได้ ชมกันจนอิ่ม เราก็ขยับไปที่ใหม่กัน

มาคราวนี้ ผมอยากได้แค่ภาพของสองที่คือ สามพันโบก และวัดภูพร้าว ที่เหลือเป็นโบนัสตามรายทาง. 
ตัวอย่างเช่น

เถาวัลย์ยักษ์ และ น้ำตกทุ่งนาเมือง





สองอย่างนี้อยู่ที่เดียวกัน มันอยู่ก่อนถึงนำ้ตกแสงจันทร์หรือน้ำตกลงรู (ภาพล่าง)นิดหน่อย
อยากให้ลองแวะดู เถาวัลย์มันใหญ่มากจริงๆ
น้ำตกลงรู (ถ้าเป็นลาบต้องลงจาน)
มันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลยกับการมาน้ำตกในตอนนี้ที่เพิ่งผ่านฤดูร้อนมาได้ไม่นาน
(หรือยังไม่ผ่านก็ไม่รู้แน่) แต่ก็เอาเหอะ ถ่ายเท่าที่ได้



ถึงแล้วครับ ที่ที่หมายมั่นปั้นมือไว้

วัดภูพร้าว



ระหว่างรอ Highlight ที่มันจะมาตอนค่ำๆ ตอนนี้ก็ดูฟ้าดูเมฆไปพลางๆครับ



ทีเด็ดวัดนี้อยู่หลังโบสถ์ ต้นโพธิ์ต้นนี้ที่ถูกบรรจงทำขึ้นมา จากการแปะเซรามิกชิ้นแล้วชิ้นเล่าของศิลปิน



และด้วยเทคนิกบางอย่าง เมื่อฟ้ามืดลง โพธ์ต้นนั้นกลับสว่างขึ้นมาในความมืดมิด





ใช้เวลาที่นี่นานพอควร ปาเข้าไปสองทุ่มกว่า ต้องรีบกลับแล้ว ก่อนที่ครัวโรงแรมจะปิด

อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง โรงแรม “ทอแสงโขงเจียม” บรรยากาศกลางคืนรื่นรมย์สุดๆครับ
นั่งนับดาวแกล้มเครื่องดื่มเย็นๆที่ริมโขง



ที่เดียวกัน กับอีกอารมณ์ในบรรยากาศยามเช้า



เกือบเดินมาสุดทางแล้วสำหรับการเดินทางในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ของเรา
ในวันอาทิตย์เราไปแบบไม่เร่งไม่รีบ เก็บเกี่ยวรายทางให้ได้มากที่สุด
วัดอะไรจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว (ลืมถ่ายป้ายไว้ด้วยสิ)


เมื่อวานผมพลาดภาพภาพหนึ่ง ที่เห็นแล้วไม่ยอมจอด
เมื่อเลยผ่านไปแต่คิดเสียดายมันอยู่ตลอดทาง

มาวันนี้ผมไม่ลังเลเลยที่จะกลับรถเพื่อภาพนี้
จะไม่ให้จอดได้เยี่ยงไรในเมื่อน้าหงามากระซิบข้างหูเสียขนาดนั้น

“คนก็คนทำนาประสาคน
คนกับควายทำนาประสาควาย
คนกับควายความหมายมันลึกล้ำ
ลึกล้ำทำนามาเนิ่นนาน
แข็งขันการงานมาเนิ่นนาน
สำราญเรื่อยมาพอสุขใจ...”


เหนื่อยนัก ก็พักหน่อย

พัทยาน้อยแห่งอุบล

เมื่อเจอความน่ารักมาทักทาย


ด้วยความเข้าใจผิดผมเลี้ยวรถเข้าไปในร้านเขาด้วยความไม่รู้ว่ามันเป็นร้านอาหาร
ได้แต่บอกเขาไปตามตรง ผมคงทานไม่ไหวเพราะจัดหนักที่โรงแรมมาเมื่อกี๊

จากคำเชื้อเชิญของร้านแพตุ้มทอง 
"ลงมาก่อน ไม่กินไม่เป็นไร มานอนเล่นก่อนแล้วค่อยไปต่อ"
ผมรับไมตรีด้วยความยินดี


แพตุ้มทอง

ที่ริมเขื่อนสิรินธร หรือที่เขาเรียกว่า พัทยาน้อย
อาหารไม่ได้ลองทาน บรรยากาศมันน่าโดดมาก...





วัดหนองป่าพง

ที่วารินชำราบ หันไปเห็นป้ายบอกทางไปวัดหนองป่าพง
มันคือวัดที่พนักงานต้อนรับโรงแรม “เป็น ตา ฮัก” ที่เราพักในวันแรกแนะนำนี่นา

มันเป็นวัดที่หลวงปู่ชาก่อตั้งขึ้น



แดดร้อน แต่ใจร่ม
เหงื่อไหล แต่จิตนิ่ง

มันก็แปลกดีนะ ปกติผมก็ไม่อะไรเท่าไหร่กับวัด แต่สำหรับที่นี่รู้สึกดีมากๆนะ



การเดินทางครั้งนี้ขอจบไว้ตรงนี้ คราวหน้าไปไหนอีก เดี๋ยวกลับมาเล่าให้ฟังนะ รอแป๊บ 

.........................................

โรงแรม เป็น-ตา-ฮัก

โรงแรม ทอแสง โขงเจียม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม